Office Syndrome เป็นชื่อเรียกของอาการปวดเมื่อยที่เกิดจากการทำงานนาน ๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้เครื่องมือด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาการที่พบบ่อย ๆ ก็จะมีตั้งแต่ ปวดคอไหล่หลัง อาหารปวดบริเวณข้อมือ ปวดศีรษะ ไปจนถึงอาการทางสายตาก็นับร่วมว่าเป็นโรคนี้ด้วย อาการเหล่านี้อาจทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนว่ามันจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเราอย่างแน่นอน

จัดการ Office Syndrome ด้วยการปรับท่าที่นั่ง

ด้วยการปรับท่าที่นั่งให้ถูกต้อง เหมาะสมกับงานที่ทำ จะช่วยลดโอกาสในการเกิด Office Syndrome ได้ และนี่คือขั้นตอนง่าย ๆ ที่เราอยากให้คุณลองทำตามดู

1. เลือกเก้าอี้ที่มีรองพื้นและพนักพิงที่สามารถปรับระดับได้ และมีที่พักแขน หรือลองหาข้อมูลเก้าอี้แบบ Ergonomic ดูแล้วลองซื้อมาใช้ก็ได้

2. ปรับระดับเก้าอี้ให้เหมาะกับความสูงของโต๊ะ ควรมีพื้นที่ว่างระหว่างเข่าและขอบโต๊ะประมาณ 5-10 เซนติเมตร ส่วนเวลานั่งทำงานควรนั่งตรง ให้พนักพิงหลังเอียงไปข้างหลังเล็กน้อย และให้ศีรษะอยู่ในเส้นตรงกับไหล่ วางเท้าลงบนพื้น หรือใช้ที่พักเท้า ห้ามวางเท้าลอยหรือกางเท้าไปด้านข้างเด็ดขาด ส่วนการวางแขนลงบนที่พักแขนก็ควรให้ข้อมืออยู่ในระดับเดียวกับคีย์บอร์ด

3. ปรับระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้สูงเท่ากับระดับสายตา หรือต่ำกว่าเล็กน้อย และตั้งหน้าจอห่างจากตาประมาณ 50-70 เซนติเมตร และควรหลีกเลี่ยงแสงจากหลอดไฟหรือหน้าต่างที่ส่องเข้ามาที่หน้าจอ ปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมกับสายตา ห้ามให้สว่างหรือมืดมากเกินไป

การหยุดพักและการออกกำลังกายเพื่อป้องกัน Office Syndrome

การหยุดพักและการออกกำลังกายเป็นวิธีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกัน Office Syndrome ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่นั่งทำงานนาน ๆ เราขอให้คุณลองลุกออกจากที่นั่งแล้วขยับร่างกายกันสักหน่อย

1. ควรหยุดพักทุก ๆ 30-60 นาที โดยลุกขึ้นจากเก้าอี้ หรือเดินไปเดินมาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

2. หมั่นหมุนคอ หมุนไหล่ ข้อมือ เท้า และยืดตัวเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและข้อต่อที่เกิดความตึงเครียดจากการนั่งเป็นเวลานาน

3. ใช้เวลา 5-10 นาทีในการทำการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น กระโดดเชือก วิ่งเหยาะ ๆ หรือถ้าไม่สะดวกก็ใช้การเดินเร็วแทน เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและให้ร่างกายได้เกิดการเคลื่อนไหวบ้าง และหากมีโอกาส ควรหาลองไปทำกิจกรรมทางกายภาพ เช่น โยคะ วิ่ง หรือว่ายน้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ถึงแม้ว่า Office Syndrome จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ที่อันตรายได้ ดังนั้น การป้องกันเอาไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง และควรทำอย่างสม่ำเสมอด้วย